รุ้งกินน้ำเเละมิราจ

        รุ้งกินน้ำมักจะเกิดหลังฝนตกและเกิดในทิศซึ่งตรงกันข้ามกับพระอาทิตย์ ทั้งนี้เพราะหลังฝนตกในอากาศจะมีละอองน้าอยู่มาก เมื่อแสงตกกระทบเข้าไปในละอองน้านี้ จะเกิดการสะท้อนกลับหมด และหักเหออกมาทาให้สีทั้ง 7 สี ของแสงขาวเกิดการกระจายออกจากกัน รุ้งกินน้ามี 2 ชนิด ซึ่งปกติแล้วจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ได้แก่
1) รุ้งทุติยภูมิ เป็นรุ้งกินน้าซึ่งแสงจะเกิดการสะท้อนกลับหมดภายในละอองน้า 2 ครั้งรุ้งแบบนี้จะเกิดในระดับความสูงมากกว่ารุ้งชนิดต่อไป แสงที่หักเหออกมาจากละอองน้าแต่ละละอองนั้นแสงสีแดงจะหักเหอยู่ด้านบนสีม่วง แต่สีที่มาเข้าตาเรากลับเป็นสีม่วงอยู่บนสีแดง
2) รุ้งปฐมภูมิ เป็นรุ้งกินน้าซึ่งแสงจะเกิดการสะท้อนกลับหมดภายในละอองน้า 1 ครั้งรุ้งแบบนี้จะเกิดในระดับต่ากว่ารุ้งทุติยภูมิ แสงที่หักเหออกมาจากละอองน้าแต่ละละอองนั้นแสงสีม่วงจะหักเหอยู่ด้านบนสีแดง แต่สีที่มาเข้าตาเรากลับเป็นสีแดงอยู่บนสีม่วง
มิราจ
      ในบางครั้งคนซึ่งเดินทางในทะเลทราย จะมองเห็นต้นไม้เป็นสองต้นพร้อมกัน โดยต้นไม้ต้นหนึ่งคือต้นไม้ปกติ แต่อีกต้นหนึ่งจะเป็นภาพหัวกลับยอดชี้ลงใต้พื้นทราย ปรากฏ-การณ์นี้เรียกมิราจ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากพื้นทรายถูกแดดจัดเผา ทาให้อากาศบริเวณใกล้พื้นทรายมีอุณหภูมิสูงและมีความหนาแน่นต่า แต่จุดซึ่งสูงกว่าพื้นทรายขึ้นมาเล็กน้อย อุณหภูมิจะลดลงอย่างมาก ทาให้ความหนาแน่นอากาศบริเวณนี้สูงขึ้น จึงเกิดความแตกต่างของความหนาแน่นของชั้นอากาศบริเวณนั้นและเมื่อแสงอาทิตย์สะท้อนออกจากยอดไม้ แสงบางส่วนจะพุ่งตรงเข้าตา ทาให้เห็นยอดไม้ชี้ขึ้นบนอากาศเป็นปกติ แต่แสงบางส่วนจะพุ่งลงข้างล่างแล้วเกิดการหักเหตามชั้นอากาศ ซึ่งมีความหนาแน่นต่างกันอยู่แล้วย้อนขึ้นมาเข้าตา และเมื่อสายตามองตรงลงไป จะทาให้เห็นยอดไม้ชี้ลงไปใต้พื้นทรายนอกจากตัวอย่างนี้แล้ว ยังมีปรากฏการณ์มิราจให้เห็นได้อีก เช่นการเห็นน้าปรากฏบน พื้นผิวถนนที่ร้อนทั้งๆ ที่ถนนแห้ง หรือเห็นเรือลอยคว่าอยู่ในอากาศเหนือท้องทะเลเป็นต้น
ฝึกทา จงวาดภาพเพื่ออธิบายปรากฏการณ์มิราจที่เกิดกับเรือลอยลาอยู่กลางท้องทะเล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น